วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ฟรี 10 Gb

http://www.4shared.com/file/173468785/942a508c/12_online.html

ตำนานดอกกุหลาบ

ตำนาน ดอกกุหลาบกุหลาบ เป็นดอกไม้ที่นิยมปลูกไว้ชื่นชมมาแต่โบราณ ประมาณกันว่า กุหลาบเกิดขึ้นเมื่อกว่า 70 ล้านปีมาแล้ว เคยมีการค้นพบฟอสซิลของกุหลาบใน รัฐโคโลราโด และ รัฐโอเรกอน ประเทศสหรัฐอเมริกา และได้พิสูจน์ว่ากุหลาบป่าเป็นพืชที่มีอายุถึง 40 ล้านปี แต่กุหลาบป่าสมัยโลกล้านปีนี้ มีรูปร่างหน้าตาไม่เหมือนกุหลาบสมัยนี้ เนื่องจากมนุษย์ได้นำเอากุหลาบป่ามาปลูกและผสมพันธุ์ ขยายพันธุ์เป็นพันธุ์ต่างๆ มากมาย ความจริงแล้วกำเนิดของกุหลาบหรือกุหลาบป่านี้มีเฉพาะในแถบบริเวณเหนือเส้นศูนย์สูตรของโลกเท่านั้น คือกำเนิดในภาคกลางของทวีปเอเชีย แล้วแพร่ขยายพันธุ์ไปตลอดซีกโลกเหนือ ไม่ว่าจะเป็นแถบที่มีอากาศหนาวจัดอย่าง อาร์กติก อลาสก้า ไซบีเรีย หรือแถบอากาศร้อนอย่าง อินเดีย แอฟริกาเหนือ แต่ในบริเวณแถบใต้เส้นศูนย์สูตรอย่างทวีปออสเตรเลีย หรือเกาะต่างๆ ในมหาสมุทรรวมทั้งแอฟริกาใต้ ไม่เคยมีปรากฏว่ามีกุหลาบป่าเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเลย ตามประวัติศาสตร์เล่าว่า กุหลาบป่าถูกนำมาปลูกไว้ในพระราชวังของจักรพรรด์จีน ในสมัยราชวงศ์ฮั่นราว 5,000 ปีมาแล้ว ขณะที่อียิปต์เองก็ปลูกกุหลาบเป็นไม้ดอก ส่งไปขายให้แก่ชาวโรมัน ชาวโรมันเป็นชาติที่รักดอกกุหลาบมากถึงจะสั่งซื้อจากประเทศอียิปต์แล้ว ยังลงทุนสร้างเนอร์สเซอรี่ขนาดใหญ่สำหรับปลูกดอกกุหลาบอีกด้วย
เครดิต:http://variety.teenee.com/world/1832.html

ดอกมะลิ

ความสำคัญทางเศรษฐกิจ
มะลิเป็นไม้ดอกเศรษฐกิจที่นับวันมีความสำคัญมากขึ้นประโยชน์ที่ด้รับจากมะลิ เช่น เก็บดอกสำหรับทำพวงมาลัย ดอกไม้แห้ง อุตสาหกรรมน้ำมันหอมระเหย แล้วยังมีประโยชน์รวมถึงใช้เป็นพืชสมุนไพรรักษาโรคได้ เช่น มะลิซ้อนดอกสดใช้รักษาโรคตาเจ็บ แก้ตัวร้อน แก้หวัด เป็นต้น พื้นที่การปลูกมะลิของประเทศไทยในปี 2534 จำนวน 3,800 ไร่ แหล่งปลูกอยู่ในเขตจังหวัด นครสวรรค์ พิษณุโลก ลำพูน หนองคาย สมุทรสาคร และนครปฐม เขตจังหวัดที่ปลูกมากที่สุด คือ นครปฐม ซึ่งปลูกถึง 1,964 ไร่ การส่งออกในปี 2534 จะส่งออกในรูปของดอกมะลิมูลค่า 23,990 บาท ส่งออกในรูปของต้นมะลิ มูลค่า 9,855 บาท และในรูปพวงมาลัย มูลค่าถึง 3,293,225 บาท ตลาดของมะลิในต่างประเทศที่สำคัญคือ เนเธอแลนด์ อเมริกา และเบลเยี่ยม ส่วนตลาดพวงมาลัยของไทยคือ อเมริกา และญี่ปุ่น
เครดิต:http://www.doae.go.th/LIBRARY/html/detail/jasmine/dd1.htm

ดอกกล้วยไม้

ลักษณะดอกกล้วยไม้
ดอกกล้วยไม้เป็นดอกสมบูรณ์เพศ คือ เกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียอยู่ในดอก เดียวกัน ดอกกล้วยไม้ประกอบด้วยกลีบดอกวงนอก 3 กลีบ และกลีบดอกวงใน 3 กลีบ ลักษณะของกลีบดอกกล้วยไม้จะแตกต่างกันไปตามชนิดของกล้วยไม้ กล้วยไม้บางชนิดอาจมีกลีบดอกขนาดใหญ่ สีสวย แต่บางชนิดมีกลีบแคบ สีไม่สวยส่วนของกลีบวงนอกหรือกลีบนอกนั้นจะเป็นส่วน ที่หุ้มดอกในระยะดอกตูม กลีบนอกมักจะมีลักษณะคล้ายกันทั้ง 3 กลีบ ยกเว้นพวกรองเท้านารี ที่กลีบนอกกลีบล่างจะมีลักษณะต่างจากกลีบบน สำหรับกลีบในนั้นจะมีลักษณะต่างกันโดยกลีบ ในคู่หนึ่งจะมีลักษณะเหมือนกัน ส่วนกลีบในกลีบที่สามจะมีลักษณะแตกต่างไปเรียกว่าปาก หรือกระเป๋า(Lip)ซึ่งมีประโยชน์สำหรับล่อแมลงเพื่อช่วยผสมพันธุ์ส่วนประกอบของดอกมีส่วนของก้านเกสรตัวผู้ ก้านเกสรตัวเมียและยอดเกสรตัวเมียรวมกันเป็นอวัยวะเดียวกันยื่นออกมาตรงใจกลางของดอก มีอับเกสรตัวผู้อยู่ที่ส่วนปลายเรียกว่า เส้าเกสร (Staminal column) ยกเว้นพวกรองเท้านารี และกล้วยไม้บางสกุลที่อับเกสรตัวผู้ อยู่ ด้านข้างของเส้าเกสร 2 ข้าง เกสรตัวผู้ไม่มีลักษณะ เป็นละอองเรณูแบบพืชอื่นๆ เกสรตัวผู้ประกอบด้วยอับเรณูและละอองเกสรตัวผู้หรือเรณู เรณูของดอกกล้วยไม้มีลักษณะแตกต่างกันคือละอองเรณูอาจจะรวมกลุ่มติดกันคล้ายขี้ผึ้งอ่อน ๆ หรือละอองเรณูเกาะตัวกันเป็นก้อนแข็งเป็นกลุ่มเรณูเรียกว่าพอลลิเนีย (pollinia) ในแต่ละอับ เรณูมีฝาปิดสนิท อาจมี 2,4 หรือ 8 อันแล้วแต่ชนิดของกล้วยไม้ยอดเกสรตัวเมียจะอยู่ใต้อับเรณู มีลักษณะเป็นแอ่งตื้น ๆภายในมีน้ำเมือกเหนียว (ยกเว้นรองเท้านารีที่มีลักษณะต่างออกไป) น้ำเมือกนี้จะมีไว้เพื่อช่วยในการผสมพันธุ์ สำหรับยึดเกสรตัวผู้ที่ตกลงไปในแอ่ง การผสมเกสรส่วนใหญ่ต้องอาศัยแมลงเข้าช่วสำหรับรังไข่อยู่ตรงส่วนของก้านดอก ภายในรังไข่จะยังไม่มีการพัฒนาเป็นไข่อ่อนเมื่อมีการผสมเกสรเกิดขึ้นแล้วจึงจะเกิดไข่อ่อน ขึ้นมาภายในรังไข่รังไข่เพียงช่อเดียวแต่มีเมล็ดเกาะที่ผนัง 3 แห่ง เมื่อไข่ได้รับการผสมจาก เกสรตัวผู้จะเจริญไปเป็นเมล็ด
เครดิต:http://www.plc.rmutl.ac.th/html/ThaiOrchid/File_html/p6.htm

มณีเทวา

มณีเทวา
มณีเทวา เป็นดอกไม้ที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระราชทานชื่อไว้ อยู่ในวงศ์ ERIOCAULACEAE เป็นไม้ล้มลุกลักษณะเป็นกอขนาดเล็กคล้ายหญ้า สูง 2-6 ซม. ดอกสีขาวออกเป็นช่อ ตั้งจากโคนกอสูง 5-15 ซม. ลักษณะเป็นก้อนกลมที่ปลายยอด ผลเป็นผลแห้ง ชนิดเมื่อแก่แล้วไม่แตก ขึ้นตามพื้นที่โล่งชุ่มชื้นหรือชายป่าโปร่ง ในภาคตะวันออกและตะวันออเฉียงเหนือของประเทศไทย

เครดิต:http://www.rspg.thaigov.net/homklindokmai/queen_flora/queen15.htm

ผาแต้ม

อุทยานแห่งชาติผาแต้ม เป็นหน่วยงานสังกัดส่วนภูมิภาค สังกัดสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 (อุบลราชธานี) กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ในอดีตชาวบ้านท้องถิ่นทำกินในบริเวณใกล้เคียงพื้นที่ป่าภูผา น้อยคนนักที่จะเดินทางเข้าไปในป่าแห่งนี้ เนื่องจากมีความเชื่อว่า “ผาแต้มเป็นเขตต้องห้าม ภูผาเหล่านั้นมีความศักดิ์สิทธิ์นักเป็นภูผาแห่งความตาย ใครล่วงล้ำเข้าไปมักมีอันเป็นไปอาจเจ็บไข้ หรือเป็นอันตรายถึงชีวิต ” ปัจจุบัน พื้นที่ป่าภูผาแต้ม ได้ถูกเปิดเผยจนเป็นที่รู้จักกันทั่วไป เมื่อคณะอาจารย์และนักศึกษาจากภาควิชามนุษยวิทยา มหาวิทยาลัยศิลปากร ได้มาทำการสำรวจค้นพบภาพเขียนสีโบราณสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่ผาแต้ม ท้องที่บ้านกุ่ม ตำบลห้วยไผ่ อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี ประกอบกับสภาพป่าในบริเวณใกล้เคียงยังอุดมสมบูรณ์อยู่ จึงได้ทำหนังสือบันทึกจากภาควิชาฯ ลงวันที่ 26 พฤษภาคม 2524 เสนอต่อกองอุทยานแห่งชาติ กรมป่าไม้ ขอให้จัดตั้งป่าภูผาในบริเวณผาแต้มเป็นอุทยานแห่งชาติ กองอุทยานแห่งชาติได้บันทึกสั่งการ ลงวันที่ 27 พฤษภาคม 2524 ให้ นายเสงี่ยม จันทร์แจ่ม นักวิชการป่าไม้ 4 ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้า อุทยานแห่งชาติดงหินกอง (ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นอุทยานแห่งชาติแก่งตะนะ) ไปทำการสำรวจหาข้อมูลเพิ่มเติมผลการสำรวจปรากฏรายงาน ตามหนังสืออุทยานแห่งชาติดงหินกอง ที่ กส 0708 (ดก) /57 ลงวันที่ 28 สิงหาคม 2524 ว่า “ พื้นที่บริเวณที่ภาควิชามนุษยวิทยา มหาวิทยาลัยศิลปากรเสนอขอให้จัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติ อยู่ในบริเวณพื้นที่ป่าภูผาปรากฏภาพเขียนสีโบราณ ซึ่งมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ที่ผาแต้ม สภาพป่าบริเวณใกล้เคียงยังไม่ถูกทำลาย และมีจุดเด่นตามธรรมชาติที่สวยงาม การคมนาคมสะดวกเหมาะที่ตั้งอุทยานแห่งชาติ โดยเห็นควรผนวกบริเวณดังกล่าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของ อุทยานแห่งชาติดงหินกอง ”
เครดิต:http://www.dnp.go.th/parkreserve/asp/style1/default.asp?npid=19&lg=1

สมุนไพรไทย

การทำสมุนไพรที่อำเภอเชียงดาวมีมานานตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายาย สืบทอดกันมาจน มีผู้คนนิยมและได้รับการคัดเลือกให้เป็นสินค้า หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ของตำบลเชียงดาว ณ ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ชมรมเราได้รับการตรวจสอบเรียบร้อยแล้วและยังเป็นสินค้า Otop ของคนไทย ได้คุณภาพมีความสะอาดปลอดภัย เป็นภูมิปัญญาไทยที่คนไทยควรรักษาไว้ให้ยั้งยืนตลอดไป เป็นสมุนไพรที่คนไทยผลิตขึ้นจากชาวบ้านถ้ำ จ.เชียงใหม่ จึงมีราคาถูกกว่าที่คุณคิด เราส่งเสริมการดูแลรักษาตัวเองด้วยสมุนไพรธรรมชาติ และอนุรักษ์ความรู้ของบรรพบุรุษไทย ในประเทศไทยมีภูมิปัญญาของตนเองที่พัฒนาการรักษาสุขภาพให้เหมาะสมกับสิ่งแวดล้อมของประเทศเรา เป็นความรู้ของบรรพบุรุษไทย ภูมิปัญญาไทยจึงเป็นสิ่งมีค่าสำหรับคนไทย
โดยมีแนวคิดในการดำรงชีวิตแบบกลับสู่ธรรมชาติ ซึ่งเป็นวิธีการดูแลสุขภาพที่ดีที่สุด ตลอดทั้งรวมความรู้ในการบำบัดโรคด้วยธรรมะ เพื่อการบำบัดและดูแลสุขภาพด้วยตนเองที่สมบูรณ์แบบ ทั้งความสุขทางกายและทางใจ
จุดเด่นของ สมุนไพรไทยคือ มีความปลอดภัย ไม่มีผลข้างเคียงหากใช้อย่างถูกต้องตามคำแนะนำและจะมีประสิทธิภาพสูงเพราะเกิดจากการสั่งสมองค์ความรู้ของภูมิปัญญาไทยมาแต่โบราณ และเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ชิดกับวัฒนธรรมความเป็นอยู่ของไทย ทำให้เราพึ่งตนเองได้เมื่อเจ็บป่วยและปัจจุบัน ยาสมุนไพรไทยหลายชนิดก็ได้รับรองให้อยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติด้วยค่ะ

เครดิต:http://www.herbsthai.com/

การเลือซื้อของชำร่วย

การเลือกซื้อของชำร่วยลองไปเลือกหาชิ้นที่ถูกใจแถวพาหุรัด ดิโอลด์ สยาม หรือสวนจตุจักร ซึ่งถือเป็นแหล่งขายของชำร่วยแหล่งใหญ่ มีของชำร่วยแบบใหม่ๆ มาให้เลือกอยู่เสมอ เมื่อไปถึงจะมีโอกาสได้เห็นได้สัมผัสของจริง มีของดีราคาไม่แพงซ่อนอยู่มากมาย สามารถสอบถาม ขอคำแนะนำ รวมทั้งต่อรองราคาที่เหมาะสมได้ หากว่าคู่บ่าวสาวมีเวลามากพอ ก็สามารถลงมือประดิษฐ์ของชำร่วยขึ้นเอง เพราะของชำร่วยสวยเก๋ ที่ไม่ซับซ้อน และใช้เวลาทำไม่มากนักมีอยู่หลายชนิด อย่างสบู่ หรือเทียนหอม หรือบุหงาแห้งนำมาบรรจุกล่องหรือถุงผ้า อาจลองดูรูปแบบหาไอเดียเพิ่มเติมจากแมกกาซีนหรือหนังสือที่นำเสนอไอเดียงานประดิษฐ์สวยๆ ก็จะได้ของชำร่วยที่ดูดีไม่แพ้ใครเช่นกัน รวมทั้งหากจัดการดีๆ ยังประหยัดค่าของชำร่วยลงไปได้อีกด้วย เพราะของชำร่วยที่สวยงามไม่จำเป็นต้องแพงเสมอไป อย่างต้นไม้รูปหัวใจผูกโบน่ารักที่เหมาะกับงานแต่งงานในสวน หรือถ้ามีฝีมือในการทำขนม อาจทำขนมเล็กๆ น้อยๆ ใส่โหลผูกโบแจก รวมทั้งแนบสูตรขนมสุดพิเศษนี้ติดไปด้วยก็ดูจะไม่ซ้ำแบบใคร
บ่าวสาวคู่ไหนที่ตั้งใจว่าจะสั่งทำของชำร่วยจากร้านที่ขาย การสั่งทำของชำร่วยแต่ละครั้งหากมีแบบให้เลือกอยู่แล้ว จะใช้ระยะเวลาในการสั่งทำอย่างน้อย 1 เดือน แต่ถ้าเป็นของชำร่วยรูปแบบพิเศษที่ออกแบบขึ้นมาใหม่เพื่องานนี้โดยเฉพาะ จะใช้เวลาในการผลิตนานขึ้น เพราะต้องมีการทำแบบขึ้นมาก่อน ระยะที่ใช้จึงต้องเผื่อไว้ไม่ต่ำกว่าเดือนครึ่งถึงสองเดือน

เครดิต:http://women.kapook.com/wedding00115/

การลดหน้าท้อง

การบริหารลดหน้าท้อง
นอนหงาย ประสานมือทั้ง 2 ไว้ที่ท้ายทอย พาดขาไว้บนเตียงหรือเก้าอี้
ค่อยๆ ยกตัวขึ้นจากพื้นช้าๆ แล้วค้างไว้พร้อมกับนับ 1-5 แล้วลดลงสู่ท่าเดิม
ทำท่านี้ 10 ชุด

การบริหารลดสะโพก
ยืนตรงมือทั้ง 2 จับพนักเก้าอี้ไว้ แยกขาจากกันเล็กน้อย
แอ่นตัวแล้วเหยียดขาซ้ายไปข้างหลังให้เต็มที่ ค้างไว้แล้วนับ 1-8
ดึงขากลับมาในท่าเริ่มต้น ทำเช่นเดียวกับขาขวา ท่านี้ทำ 5 ชุด
การบริหารสะโพกให้เต่งตึง
ยืนตรงแยกเท้าจากกันเ้ล็กน้อย มือทั้ง 2 ข้างเท้าสะเอวไว้ แข่มวหน้าท้องแล้วค้างไว้
งอเข่าข้างขวาในขณะที่ย่อตัวลงทางด้านขวา แต่ขาข้างซ้ายต้องเหยียดตรง ค้างไว้แล้วนับ 1-8
ดึงขากลับมายังท่าเริ่มต้น คลายหน้าท้อง สูดลมหายใจลึกๆ แล้วแข่มท้องอีก
งอเข่าข้าซ้ายพร้อมกับย่อตัวลงทางด้านซ้าย แต่ขาข้างขวาต้องเหยียดตรง ค้างไว้แล้วนับ 1-8
กลับสู่ท่าเริ่มต้น คลายหน้าท้อง แล้วทำสลับกันอีก ข้างละ 4 ชุด

เครดิต:http://www.thaigoodview.com/library/teachershow/sakaew/chanida_t/diet/sec02p04.html

วิธีการบำรุงผิว

การบำรุงผิวได้ถูกจุด ต้องทราบประเภทผิวของเรา เพราะจะเป็นตัวกำหนดการดูแลรักษาและบำรุงซึ่งจึงจะแตกต่างกันไป

1. ผิวธรรมดา คือ ผิวที่มักจะไม่มีปัญหา นับว่าสุขภาพผิวดีเลยทีเดียว สังเกตง่ายๆว่าเรามีผิวธรรมดาหรือไม่ ให้ดูที่ผิวของเราว่ามีความยืดหยุ่นดี มีความเรียบเนียนไม่หยาบกร้าน รูขุมขนเล็กละเอียด ผิวไม่แห้งแตกเป็นขุย หรือมีน้ำมันเยิ้มมากเกินไป
2. ผิวบอบบาง คือ ผิวที่มักจะมีปัญหาสักหน่อย เพราะจะแพ้และไวต่อสารเคมีได้เร็ว ส่วนใหญ่แล้วปัญหาของคนผิวบอบบางนั้นมักเกิดจากโรคภูมิแพ้ร่วมด้วย ผู้ที่มีผิวบอบบางจึงไม่ควรปล่อยให้ผิวมีความมันหรือแห้งเกินไป เพราะอาจเป็นสาเหตุทำให้ผิวเกิดผดผื่นคัน และเกิดสิวได้ง่าย และทุกครั้งที่ใช้เครื่องสำอางแล้วเกิดอาการแพ้ ก็ควรหยุดใช้ทันที อย่าดันทุรังฝืนใช้ เพราะอาจะไปทำลายผิวชั้นในจนยากแก่การรักษาได้ โดยเฉพาะแสงแดด หรือความร้อนหลีกเลี่ยงได้ก็ควรหลีกเลี่ยง เพราะผิวจะไม่สามารถทนต่อความร้อนจนเป็นสาเหตุทำให้เกิดรอยไหม้ และผิวแสบร้อนได้ง่ายกว่าผิวประเภทอื่น

3. ผิวมัน คือ ผิวที่มักมีปัญหา โดยเฉพาะผู้ที่มีน้ำมันส่วนเกินของผิวมากเกินไป จะประสบกับปัญหาของกลิ่นตัวมากกว่าผิวประเภทอื่น สาเหตุที่ผิวมีน้ำมันมากเกินไป ก็เนื่องมาจากรูขุมขนของผิวหนังกว้าง และผิวไม่เรียบเนียน ผู้มีผิวมันจึงไม่อาจหลีกเลี่ยงในเรื่องของสิวอุดตัน และสิวเสี้ยนได้

4. ผิวแห้ง คือ ผิวที่ไม่ค่อยมีปัญหาอันใด หากรู้จักบำรุงผิวให้มีความชุ่มชื้นอยู่ตลอดเวลาได้ เพราะผู้ที่มีผิวแห้งจะมีผิวที่มีความเรียบเนียน รูขุมขนละเอียดเล็ก และมักไม่ค่อยประสบกับปัญหาในเรื่องของสิวเสี้ยน แต่จะมีข้อเสียอยู่ที่ว่าผู้ที่มีผิวแห้งมักจะเกิดริ้วรอยได้ง่ายกว่าผิวประเภทอื่น สาเหตุเพราะผิวขาดความชุ่มชื้น และแห้งแตกเป็นขุยนั้นเอง

5. ผิวผสม คือ ผิวที่มีวิธีการดูแลรักษาที่ค่อนข้างยุ่งยาก เพราะมีลักษณะของผิวหลายประเภทผสมอยู่ด้วยกัน บางจุดอาจจะมีความมันส่วนเกินมากเกินไป หรือบางจุดแห้งแตกเป็นขุย สำหรับผู้ที่มีผิวผสมจึงต้องรู้จักเลือกวิธีการดูแลบำรุงรักษาให้ถูกจุด จึงจะช่วยทำให้ผิวเกิดความสม่ำเสมอกัน

เครดิต:http://www.samunpri.com/modules.php?name=News&file=article&sid=130

การทาครีม

การทาครีมบำรุงหน้าให้ถูกวิธีเริ่มจาก แต้มครีมบนหน้า 5 จุด ได้แก่ ปลายจมูก แก้ม 2 ข้าง และคางแล้ว ก็ให้เกลี่ยครีมโดยใช้นิ้วกลางและนิ้วนาง เกลี่ยในลักษณะจากส่วนกลาง ออกไปด้านข้าง ทางซ้ายออกซ้าย ทางขวาออกขวา และตามด้วยแนวสันจมูก ใต้โพรงจมูก และวนบริเวณใต้คาง ให้เว้นบริเวณรอบดวงตาไว้ เพราะอาจต้องใช้ครีมชนิดเฉพาะรอบดวงตามาทาแทน ส่วนการลงน้ำหนักของนิ้ว ในขณะที่ทาครีมก็ควรจะเบาที่สุด เพราะผิวหน้าเป็นผิวที่บอบบาง ควรได้รับการทะนุถนอมนะคะ ส่วนการทาครีมรอบดวงตาให้ถูกต้องเทคนิคอยู่ที่การเกลี่ยครีมให้มีประสิทธิภาพโดยเฉพาะ โดยที่ปริมาณของครีมรอบดวงตานั้นจะใช้เท่า 1 เมล็ดถั่วเขียว โดยใช้แค่นิ้วนางเท่านั้นในการทา เพราะว่าจะให้น้ำหนักกดเบาที่สุด หลังจากนั้นก็ให้เกลี่ยไล่ตามแนวโครงกระดูกเบ้าตาเบา ๆ โดยสามารถ เริ่มที่จุดบริเวณด้านหางตาหรือหัวตา ก่อนก็ได้ แต่ว่า การเริ่มทาครีมรอบดวงตาทั้งสองข้าง นั้นต้องเริ่มที่จุดเดียวกันนะ อย่างถ้าเริ่มทาครีมที่หัวตาซ้ายก่อน การทารอบดวงตาด้านขวา ก็ต้องเริ่มตรงหัวตาเช่นเดียวกันนะจ๊ะ หรือถ้าจะทาครีมวนรอบๆ ดวงตาไม่ว่าจะวนเข้าหรือวนออกก็อย่าลืมวนให้เหมือนกันหมดนะจ๊ะ
เครดิต:http://board.narak.com/fashion_and_beauty/topic.php?No=15333

การดูแลเส้นผม

การดูแลรักษาเส้นผม
1. เริ่มจากการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผม ต้องมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีค่าความเป็นด่างที่สมดุล เช่น ครีมนวดผมต้องมีคุณสมบัติปรับสภาพเส้นผมให้ชุ่มชื่นและล้างออกได้ง่าย
2. เวลาสระผมจะต้องนวดหนังศีรษะไปพร้อมกัน เพราะจะช่วยให้เกิดการหมุนเวียนโลหิตที่หนังศีรษะดีขึ้น ให้น้ำมันตามธรรมชาติไปหล่อเลี้ยงเส้นผม หรืออาจนวดระหว่างวันด้วยหวีแปรงไม้
3. เมื่อผมเปียกชื้นอาจเป็นปัญหาหนึ่งที่สาวๆ อย่างเราต้องกังวล เพราะเวลาผมแห้งก็จะฟู ฉะนั้นอาจพกไดร์เป่าผมตัวจิ๋วไว้ในกระเป๋าหรือที่ทำงานสักอัน นอกจากจะได้ผมสลวยแล้ว เป็นอีกทางหนึ่งช่วยลดความเสี่ยงที่จะเป็นหวัดได้เป็นอย่างดี
4. เวลาเป่าผมให้แห้ง ควรเป่าผมจากบนลงล่าง เพราะเกล็ดผมจะเรียงตัวตามธรรมชาติ ทำให้เส้นผมเรียงตัวสวยและเรียบเงางาม ไม่ชี้ฟู
5. สาวใดที่นิยมไดร์ผมให้ตรง ดัดผมด้วยโรลไฟฟ้า และรีดผมด้วยไฟฟ้า ต้องระวังเรื่องไฟดูดและควรใช้ผลิตภัณฑ์ปกป้องเส้นผมจากความร้อนด้วยเสมอ 6. ถ้าจำเป็นต้องหวีผมขณะที่เปียก ควรใช้หวีซี่ห่างๆ จะช่วยให้เส้นผมขาดน้อยลงได้
7. การกินอาหารที่ดีมีประโยชน์ช่วยให้เส้นผมมีสุขภาพที่ดีด้วยเช่นกัน ควรเลือกอาหารจำพวก ผัก ผลไม้ และควรดื่มน้ำให้มาก หลีกเลี่ยงอาหารที่ผ่านกระบวนการขัดสี รวมทั้งพยายามงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และงดสูบบุหรี่ ก็จะเรียกได้ว่าเป็นการบำรุงให้ผิวและผมสวยใสจากภายในสู่ภายนอกนั่นเอง
8. ถ้าต้องทำกิจกรรมกลางแจ้ง ควรปกป้องเส้นผมจากแสงแดดด้วยการสวมหมวก หรือทาครีมปรับสภาพผมทิ้งไว้เมื่อต้องออกแดด จากนั้นค่อยล้างออกตามปกติ
เครดิต:http://women.thaiza.com/detail_57960.html

การดูแลรักษาผิวหน้า

โทนเนอร์น้ำผลไม้ หลังจากล้างหน้าแล้ว ตามขั้นตอนจะต้องเช็ดหน้าด้วยโทนเนอร์อีกครั้งเพื่อกระชับรูขุมขน และปรับสภาพ pH ของผิวหน้า หากเบื่อใช้โทนเนอร์ที่มีขายตามท้องตลาด ผักและผลไม้นั้นมีวิตามินและเอนไซม์ซึ่งช่วยปรับสภาพผิวให้เรียบเนียนเสมอกันทั่วใบหน้าและช่วยขัดผิวได้ วิธีการทำก็ไม่ได้ยากเช่นกัน ให้นำผลไม้ที่ชอบ โดยอาจเลือกจากสรรพคุณของผลไม้ นำผลไม้มาประมาณ 50 กรัมต่อครั้ง ล้าง เช็ดให้แห้ง ปอกเปลือก แล้วปั่นด้วยเครื่องปั่นหรือบดให้ละเอียด เติมน้ำกลั่นบริสุทธิ์ลงไปประมาณ 25 มิลลิตร ทิ้งไว้สักครู่หนึ่ง แล้วจึงใช้ผ้าขาวบางกรองแยกกากออกไป เก็บแต่น้ำไว้ใช้ ข้อควรระวังคือ ต้องทำความสะอาดผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในการทำโทนเนอร์น้ำผลไม้ ไม่ว่าจะเป็นชาม เครื่องปั่น มีด ผ้าขาวบาง หรือแม้กระทั่งมือตัวเองให้สะอาด มิเช่นนั้นโทนเนอร์น้ำผลไม้ที่ได้ แทนที่จะช่วยทำความสะอาดผิวอาจจะทำให้ผิวเกิดความระคายเคืองเนื่องจากสิ่งสกปรกตกค้างจากภาชนะเหล่านั้น
สรรพคุณของผลไม้แต่ละประเภท

1. ว่านหางจระเข้ บำรุงผิว สำหรับทุกสภาพผิว
2. แตงกวา ปรับสภาพผิว เหมาะสำหรับผิวมัน
3. ฝรั่ง ขัดผิว มีส่วนผสมของกรด AHA
4. ตะไคร้ ทำความสะอาดผิว สำหรับทุกสภาพผิว
5. สับปะรด ขัดผิว มีส่วนผสมของ AHA
6. มะขาม ขัดผิว ช่วยให้ผิวขาว เหมาะสำหรับผิวมันเครดิต:http://www.formumandme.com/article.php?a=670

การป้องกันไข้หวัด2009

คำแนะนำสำหรับประชาชนทั่วไป

1. ล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่ หรือใช้แอลกอฮอล์เจลทำความสะอาดมือ

2. ไม่ใช้แก้วน้ำ หลอดดูดน้ำ ช้อนอาหาร ผ้าเช็ดมือ ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว ร่วมกับผู้อื่น

3. ไม่ควรคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่มีอาการไข้หวัด

4. รักษาสุขภาพให้แข็งแรง ด้วยการกินอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ดื่มน้ำมากๆ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

5. ควรหลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่ที่มีผู้คนแออัดและอากาศถ่ายเทไม่ดีเป็นเวลานาน โดยไม่จำเป็น

6. ติดตามคำแนะนำอื่นๆ ของกระทรวงสาธารณสุขอย่างใกล้ชิด

คำแนะนำสำหรับผู้ป่วยไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่

1. หากมีอาการป่วยไม่รุนแรง เช่น ไข้ไม่สูง ไม่ซึม และรับประทานอาหารได้ สามารถรักษาตามอาการด้วยตนเองที่บ้านได้ ไม่จำเป็นต้องไปโรงพยาบาล ควรใช้พาราเซตามอลเพื่อลดไข้ (ห้ามใช้ยาแอสไพริน) นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และดื่มน้ำมากๆ

2. ควรหยุดเรียน หยุดงาน จนกว่าจะหายเป็นปกติ และหลีกเลี่ยงการคลุกคลีใกล้ชิด หรือใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น

3. สวมหน้ากากอนามัยเมื่อจำเป็นต้องอยู่กับผู้อื่น หรือใช้กระดาษทิชชู ผ้าเช็ดหน้า ปิดปากและจมูกทุกครั้งที่ไอ จาม

4. ล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่ หรือใช้แอลกอฮอล์เจลทำความสะอาดมือ โดยเฉพาะหลังการไอ จาม

5. หากมีอาการรุนแรง เช่น หายใจลำบาก หอบเหนื่อย อาเจียนมาก ซึม ควรรีบไปพบแพทย์

เครดิต: http://www.thaihealth.or.th/node/9523

การเลือกซื้อผัก

การเลือกซื้อผัก
พิจารณาจากสี ขนาด รูปร่าง ความอ่อนแก่
เลือกซื้อตามฤดูกาล การเลือกซื้อผักที่เป็นหัว มีดังนี้
เผือก มัน เลือกที่มีน้ำหนักมาก เนื้อแน่น ผิวเรียบ
ผักกาดหัว เลือกหัวอ่อน ๆ ผิวเรียบไม่งอ
กะหล่ำปลี เลือก หัวแน่น ๆ และมีน้ำหนักมาก
หอมใหญ่ เลือกหัวแน่น ๆ เปลือกแข็ง

การเลือกซื้อผักที่เป็นฝัก
ถั่วฝักยาว ถั่วแขก ถั่วพลู ถั่วลันเตา เลือกฝักอ่อน ๆ สีเขียว แน่น ไม่พอง อ้วน มี เมล็ดเล็ก ๆ ข้างใน อันตรง ๆ ไม่คดงอ
การเลือกซื้อผักที่เป็นใบ
ผักกาดหอม ผักกาดขาว ผักบุ้ง ฯลฯ เลือกที่มีสีเขียวสด ไม่เหี่ยว ไม่มีรอยช้ำ และมีหนอน ต้นใหญ่อวบ ใบแน่นติดกับโคน
การเลือกซื้อผักที่เป็นผล
มะเขือเปาะ เลือกที่ขั้วติดแน่น สด มีน้ำหนักมาก ไม่เหี่ยว
แตงกวา แตงร้าน ลูกที่มีน้ำหนักสีเขียวอ่อน ลูกยาว ผิวนวล ไม่มีรอยช้ำ
มะนาวเลือกผิวบางเรียบ ไม่เหี่ยว - ฟักทอง ผลหนัก แน่น เนื้อเหลืองอมเขียว ผิวเปลือกแข็งขรุขระ

เครดิต:http://pirun.ku.ac.th/~b4913113/page4_1.htm

วิธีการเลี้ยงหนูแฮมเตอร์

วิธีการเลี้ยงหนูแฮมเตอร์
อาหารหลักที่ควรให้แฮมสเตอร์ คือ ธัญพืชโดยจะโปรยอาหารลงบนพื้นก็ได้เพราะแฮมสเตอร์ไม่มีนิสัยชอบก้มกิน มันจะชอบหยิบอหารออกมากินนอกภาชนะมากกว่า โดยใช้เท้าหน้าจับอาหารกิน แต่การใช้ภาชนะมีข้อดี คือจะทำให้เราได้รู้ว่ามันเอาอาหารออกไปกิน มากน้อยแค่ไหน ถ้ามันป่วยเราก็รู้ได้ นอกจากนี้ การใส่ภาชนะยังทำให้อาหารและขี้เลื่อยไม่ปะปนกันทำให้การเปลื่ยนขี้เลื่อยทำได้ง่ายโยไม่ต้องทิ้งอาหารที่ปนกับขี้เลื่อย สิ่งที่ควรทราบในการให้อาหารแฮมสเตอร์
1. อย่าให้ผักสด หรือผลไม้สดบ่อยๆหรือมากเกินไป การให้ผักสดควรให้แค่สัปดาห์ละครั้งเพราะอาจจะทำให้แฮมสเตอร์ท้องอืด หรือท้องเสียได้และหากมันกินไม่หมดควรจะเก็บทิ้งทันที
2. พยายามอย่าเปลื่ยนอาหารแบบทันทีทันใด ควรจะค่อยๆ เปลื่ยนอาหารโดยเอาอาหารเก่า ผสมกับอาหารใหม่ และเพิ่มอัตราส่วนอาหารใหม่ให้มากขึ้นเรื่อยๆ จนแทนที่อาหารเก่าในที่สุด อย่าเปลื่ยนแบบฉับพลัน
3. อาหารที่ควรหลีกเลื่ยงช็อคโกแลต โดยเฉพาะ Dark Chocolate เพราะมีสาร Theobromine ซึ่งเป็นพิษต่อแฮมสเตอร์ได้
4. หลีกเลื่ยงผักผลไม้ ที่มีรสเปรี้ยวๆ เช่น มะนาว ส้ม สับปะรด เป็นต้น
5. เราอาจจะเสริมโปรตีนให้กับแฮมสเตอร์ได้ โดยการให้อาหารเม็ดของแมวหรืออาหารสุนัขที่เป็น บิสกิต ใส่ลงไปได้บ้างเล็กน้อย ซึ่งช่วยเสริมโปรตีนและยังช่วยลับฟันแฮมสเตอร์ไม่ให้ยาวเกินไปอีกด้วย

เครดิต: http://www.oknation.net/blog/HAMTER2009/2009/06/25/entry-2